ประเพณียี่เป็ง


คำว่า “ยี่เป็ง” เป็นภาษาล้านนาหรือภาษาคำเมือง
การนับวันเดือนปีของชาวล้านนาจะมีความคาดเคลื่อนจากชาวภาคกลางประมาณ 2
เดือน ชาวล้านนาจะเริ่มนับวันเดือนปีประมาณเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี
โดยเดือนที่หนึ่งเรียกว่า “เดือนเกี๋ยง” เดือนที่สองเรียกว่า “เดือนยี่”
และเดือนที่สาม สี่ ห้า……จนถึงเดือนสิบสองจะนับเช่นเดียวกับชาวภาคกลาง
คำว่า “เป็ง” ก็คือพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
พระจันทร์ในคืนนี้จะมีความสว่างสุกใสเป็นพิเศษ ชาวล้านนาออกเสียง พ
(พ.พาน) เป็น ป (ป.ปา) ถ้าเป็นภาษาเขียน พ (ตั๋วป๊ะ) = พ) ดังนั้น
คำว่า “วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง พวกเราชายหญิง
สนุกกันจริง วันลอยกระทง” ก็คือ วันเพ็ญเดือนสิบสองของชาวภาคกลาง
และก็มีความหมายเหมือนกับของชาวล้านคือ “วันยี่เป็ง”
ซึ่งจะตกราวประมาณของเดือนพฤศจิกายนของทุก ๆ ปี
ประเพณียี่เป็งชาวล้านนาจะถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านาน
กิจกรรมในประเพณีนี้ชาวล้านนาจะมีการตบแต่งสถานที่ “ชุ้มประตูป่า”
ประดับด้วยไฟสีต่าง ๆ
ตอนเช้าไปทำบุญที่วัดเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาและความเป็นศิริมงคลกับครอบ
ครัวและตนเอง
ตอนเย็นหรือหัวค่ำก็จะเดินทางไปบูชาเทียนต่อพระประธานในพระวิหารหรือพระ
อุโบสถ เทียนนี้จะทำเป็นพิเศษ
โดยไส้เทียนจะประกอบด้วยเส้นไส้เทียนเท่าอายุของตนเองหรือเผื่ออีกเล็กน้อย
จะมากหรือน้อยนั้นก็สุดแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคล
กระดาษสาที่เขียนด้วยบทคาถาและวันเดือนปีเกิดของบุคคลนั้น
เทียนนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 เล่มคือ สืบชะตา รับโชค และสะเดาะเคราะห์
นอกจากการบูชาเทียนนี้แล้ว ก็มีการจุด ประทีบ (ผางปะตีด) บูชาพระพุทธเจ้า
และกลับมาที่บ้านก็มาจุดบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน
ตลอดจนจุดประทีบบริเวณหน้าบ้าน จะมีการจุดดอกไม้ไฟ ปล่อยโคมลอย
และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ
ต่างก็มีความสนุกสนานกับประเพณีนี้ในปีหนึ่ง ๆ จะมีเพียงครั้งเดียว
สิ่งที่เราพบเห็นอีกสิ่งหนึ่งนั้นก็คือ “การลอยกระทง”
ในแม่น้ำสายต่าง ๆ ทั่วประเทศ
การทำกิจกรรมนี้ในอดีตที่ผ่านมานั้นกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะบูชา
“พระแม่คงคา”
กล่าวคือแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดียนั้นมีประโยชน์คุณูประการต่อชาวอินเดีย
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยรับเอาพระพุทธศาสนามาจากประเทศอินเดีย
และขณะเดียวกันก็รับเอาประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ เข้ามาด้วย
การลอยกระทงเป็นการบูชา “แม่น้ำ” หรือ “น้ำ” นั้น
เป็นการสำนึกในบุญคุณของน้ำที่ช่วยให้ชีวิตทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์
ได้อาบ ได้ดื่ม ได้กิน ให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข
ประเพณีและวัฒนธรรมเป็นมรดกอันล้ำค่าของประเทศไทยเราที่บรรพบุรุษได้
สร้างไว้ให้ลูกหลาน ไม่มีประเทศใดในโลกเสมอเหมือน
คณะกรรมการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม คณะเทคนิคการแพทย์
มีความตระหนักและเห็นความสำคัญของประเพณีดังกล่าว
จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมนี้ให้มีความมั่นคงถาวร
สืบไป
อ้างอิง http://www.baanjomyut.com/library_2/yi_peng/index.html
ประเพณียี่เป็ง 2555 ยี่เป็งสันทรายถวายพุทธบูชา
รวมภาพงานลอยโคมยี่เป็งเชียงใหม่
ประเพณียี่เป็ง ณ ธุดงคสถานล้านนา จังหวัดเชียงใหม่
ประเพณียี่เป็งเป็นงานประเพณีอันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนล้านนา
ที่ได้ปฎิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล "ยี่เป็ง"
หรือวันเพ็ญเดือนยี่ของชาวล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12
อันเป็นช่วงปลายฤดูฝน ต้นฤดูหนาว อากาศปลอดโปร่งท้องฟ้าแจ่มใส
ประเพณียี่เป็งสันทราย
บริเวณด้านหน้าของงานประเพณียี่เป็งที่ธุดงคสถานล้านนา
ธรรมเนียมปฎิบัติของชาวล้านนาอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการลอยกระทงในแม่น้ำก็
คือ การจุดประทีปโคมลอยขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้า โดยมีคติความเชื่อว่า
เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสวรรค์

ในงานประเพณียี่เป็งช่วงบ่ายมีพิธีทอดกฐิน
ประเพณียี่เป็งได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
กิจกรรมในงานยี่เป็งนี้จะมีพิธีทอดมหากฐินสามัคคีซึ่งจะจัดขึ้นก่อนในช่วง
บ่าย
และได้ร่วมกันน้อมรำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการจุดประทีป
และลอยโคมขึ้นสู่ท้องฟ้าถวายเป็นพุทธบูชา สร้างความสว่างไสว
ทำลายความมืดมิดในยามราตรี
ดุจดังพระสัจธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่สามารถขจัดความมืด ความไม่รู้
และอวิชชา ให้หมดไปจากใจของชาวโลก
เหลือไว้แต่ใจที่สว่างไสวกับร้อยยิ้มอันปิติใจจากพวกเราที่จะได้ไปร่วมงาน
กัน
เส้นทางสำหรับขบวนอัญเชิญผ้ากฐินสู่ศูนย์กลางพิธี
ศูนย์กลางพิธีทอดกฐินล้านนา
ในภาษาคำเมืองของทางเหนือ “ยี่” แปลว่า สอง และคำว่า “เป็ง” หมายถึง เพ็ญ
หรือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึง หมายถึงประเพณีพระจันทร์เต็มดวงในเดือนสอง
โดยในพงศาวดารโยนกและจามเทวี มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งได้เกิด อหิวาตกโรคขึ้น
ในแคว้นหริภุญไชย ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดี นานถึง 6 ปี
จึงจะเดินทางกลับ มายัง บ้านเมืองเดิมได้
เมื่อเวลาเวียนมาถึงวันที่จากบ้านจากเมืองไป
จึงได้มีการทำกระถางใส่เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย ลอยตามน้ำ
เพื่อให้ไปถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป เรียกว่า การลอยโขมด หรือลอยไฟ
ยี่เป็งสันทราย ถวายเป็นพุทธบูชา
ประเพณียี่เป็งเชียงใหม่
ในงานบุญยี่
เป็ง ยังมีการเทศน์มหาชาติ ผู้คนจะออกมาตกแต่งบ้านเรือน วัดวาอาราม
และถนนหนทาง ด้วยต้นกล้วย อ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้
ตุงช่อประทีปและชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา
ยามค่ำคืนจะมีการจุดโคมลอย ปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า
เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์
จุดเด่นของงานนี้อยู่ที่การปล่อย โคมลอย ขึ้นไปในท้องฟ้า โดยเชื่อกันว่า
เปลวไฟในโคมเป็นสัญลักษณ์ของความรู้ และแสงสว่างที่ได้รับจากโคม
จะส่งผลให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง
โคมประทีปสำหรับจัดในพิธีช่วงค่ำ
โคมลอย นิยมลอยกันในเทศกาลลอยกระทง
ทางภาคเหนือเรียกว่าประเพณี ยี่เป็ง เป็นประเพณีลอยกระทงของชาวล้านนา
ซึ่งหมายถึงวันเพ็ญเดือน 2 เป็นการนับเดือนตามจันทรคติ โดยคำว่า ยี่เป็ง
เป็นภาษาเหนือ ยี่ แปลว่า สอง และคำว่า เป็ง ตรงกับคำว่า เพ็ง หรือ เพ็ญ
หมายถึงพระจันทร์เต็มดวง คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 2 นั่นเอง
โคมลอย
ที่คนท้องถิ่นล้านนาส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า ว่าว
สามารถแบ่งย่อยได้สองประเภท ได้แก่ โคมลอยกลางวัน (ว่าวโฮม-ว่าวควัน) กับ
โคมลอยกลางคืน (ว่าวไฟ) นอกจากนี้ยังมีโคมแขวน
ที่จัดเป็นโคมอีกชนิดเช่นกันเพียงแต่ใช้แขวนตามบ้านเรือนไม่ได้ใช้ลอยโดยโคม
ที่ใช้ลอยกลางวันนั้น จะใช้กระดาษที่มีสีสันจำนวนหลายสิบแผ่นในการทำ
เพื่อให้เห็นในระยะทางไกลแม้จะอยู่บนท้องฟ้า จะมีการตกแต่งด้วยการใส่หาง
หรือขณะที่ทำการปล่อยมักใส่ลูกเล่นต่างๆเข้าไปด้วย เช่น ใส่ประทัด ควันสี
เครื่องบินเล็ก ตุ๊กตากระโดดร่ม เป็นต้น
บางท้องที่นิยมใส่เงินลอยขึ้นไปอีกด้วย
วิธีการปล่อยจะต้องใช้การรมควันให้เต็มโคม เมื่อได้ที่แล้วจึงปล่อย
โคมยี่เป็งที่พุทธศาสนิกชนร่วมกันจุดขึ้นเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประเพณียี่เป็งลอยโคมที่เชียงใหม่
ส่วนโคมลอย ที่ใช้ลอยกลางคืน นิยมใช้กระดาษสีขาว
เนื่องจากจะโปร่งแสงเมื่อลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วขนาดก็จะย่อมกว่าโคมลอยกลาง
วัน วิธีการปล่อยจะใช้เชื้อไฟ หรือขี้ไต้
จุดเพื่อให้ความร้อนส่งโคมลอยขึ้นบนฟ้า จะมีการเพิ่มเติมดอกไม้ไฟน้ำตก
ดาวตก ประทัด เพื่อเพิ่มสีสันอีกด้วย
กุศโลบายของการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ก็เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์รวมทั้งเชื่อว่าเป็น
การลอยเคราะห์ ให้ประสพแต่สิ่งดีงาม สร้างความสามัคคี
และที่สำคัญเป็นการอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามที่สืบ
งานประเพณีพื้นบ้านในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ของชาวล้านนาจังหวัดเชียงใหม่
ที่มีความเชื่อในการปล่อยโคมลอยซึ่งทำด้วยกระดาษสาติดบนโครงไม้ไผ่แล้วจุด
ตะเกียงไฟตรงกลางเพื่อให้ไอความร้อนพาโคมลอยขึ้นไปในอากาศเป็นการปล่อย
เคราะห์ปล่อยโศกและเรื่องร้ายๆต่างๆ ให้ไปพ้นจากตัว
การปล่อยโคมลอยเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในประเพณียี่เป็ง เป็นที่รวมแห่งศรัทธาสามัคคีของชาวบ้านกับชาววัด นอกจากนี้การทำโคมลอยยังถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง หากทำไม่ถูกสัดส่วนจะปล่อยไม่ขึ้น
ทุกคนที่มาร่วมงานยี่เป็งจะปล่อยให้โคมที่ถือไว้ลอยขึ้นท้องฟ้าพร้อมเพรียงกัน
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ชาวบ้านจะไปทำบุญตักบาตรและ
ฟังเทศมหาชาติ โดยเป็นการเทศน์แบบพื้นเมือง ที่พระสงฆ์จะขึ้นไป
เทศน์บนธรรมมาสน์บุษบก และในตอนค่ำชาวบ้านจะนำผางผะติ๊ด (ถ้วยประทีป)
มาที่วัดเพื่อบูชาพระรัตนตรัย และฟังเทศน์ และการจุดผางผะติ้ดนี้
คนล้านนาถือว่าได้บุญมาก เมื่อเสร็จจากการบูชาผางผะติ้ดก็จะเป็นการจุดโคมไฟ
หรือลอยโคม และลอยโขมดหรือลอยกระทง พร้อมกับเล่นดอกไม้ไฟ
การปล่อยโคมลอยมี 2 ลักษณะด้วยกัน คือ
1. ปล่อยโคมลอยในตอนกลางวัน เรียกว่า ว่าว โดยทำโคมด้วยกระดาษสี แล้วให้ลอยสู่ท้องฟ้าด้วยความร้อนคล้ายบอลลูน เพื่อปล่อยทุกข์โศกและสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ไป
2. ปล่อยโคมลอยในเวลากลางคืน เรียกว่า โคมไฟ
โดยใช้ไม้พันด้ายเป็นก้อนกลม ชุบน้ำมันยางหรือน้ำมันขี้โล้แขวนปากโคม
แล้วจุดไฟปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์
สำหรับการลอยโขมดหรือการลอยกระทงของล้านนา
จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ เช่นเดียวกัน ที่เรียกว่า ลอยโขมดนั้น
เนื่องจากกระทงเมื่อจุดเทียนแล้วปล่อยลงน้ำ
จะมีแสงสะท้อนกับเงาน้ำวับแวมดูคล้ายแสงของผีโขมด ชาวล้านนาจะลอยกระทงเล็กๆ
กับครอบครัว
เพื่อนฝูง ในวันขึ้น 15 ค่ำ ส่วนกระทงใหญ่ที่ร่วมกันจัดทำ นิยมลอยในวันแรม
1 ค่ำ กระทงเล็กของชาวเชียงใหม่ แต่เดิมใช้กาบมะพร้าว ที่มีลักษณะโค้งงอ
เหมือนเรือเป็นกระทง แล้วนำกระดาษแก้วมาตกแต่งเป็นรูปนกวางดอกไม้
และประทีบไว้ภายใน
นักท่องเที่ยวและช่างภาพมีเวลากดชัตเตอร์กันเพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้นก่อนที่โคมจะลอยไปจนสุดสายตา
ประเพณีการลอยโคมยี่เป็ง
ประเพณีการลอยโคมยี่เป็ง
ได้มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงปัจจุบัน
กลายเป็นกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาร่วมใน
ประเพณีการลอยโคมยี่เป็งที่จัดขึ้นในช่วงเทศกาลลอยกระทงโดยได้รับการสนับ
สนุนจากทางเทศบาลนครเชียงใหม่
ประเพณีการลอยกระทง
และลอยโคมยี่เป็งที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น
เริ่มต้นกิจกรรมกันที่ริมแม่น้ำปิง และในบริเวณใกล้เคียง
มีการจัดงานออกร้านขายของ ขายกระทง การประกวดนางนพมาศ
การประกวดขบวนแห่กระทงของหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย
พอช่วงค่ำกระทงในลำน้ำปิงก็เริ่มมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
พร้อมกับผู้คนที่หนาแน่นขึ้น ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมของพวกเรา
ก็เบียดเสียดเยียดยัดหาที่ว่างเพื่อจะไปถ่ายรูปขบวนแห่ และกระทง
แต่ในช่วงนั้นเองก็เริ่มเห็นท้องฟ้า เต็มไปด้วยโคมลอยทยอยกันขึ้นมาเรื่อย ๆ
จากท้องฟ้าด้านตรงข้ามไกล ๆ และไม่ขาดสาย
จึงย้ายสำมะโนครัวตามหาแหล่งที่เป็นจุดกำเนิดของเจ้าพวกโคมลอยพวกนี้
การปล่อยโคมจะปล่อยเป็นชุดๆ ไปเพื่อความสวยงาม
ที่ธุดงคสถานล้านนา มีการจัดงานลอยโคม “ยี่เป็งสันทรายถวาย พุทธบูชา”
เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านของไทย
…นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2532 เป็นต้นมา ธุดงคสถานล้านนา จ.เชียงใหม่
พร้อมด้วยอำเภอสันทราย และสถาบันการศึกษา วัด และหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน
ได้ร่วมกันสืบสานศิลปวัฒนธรรมล้านนา และประกอบพิธีจุดประทีป
และโคมลอยเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้มีบุญที่มาร่วมงานรอจังหวะสัญญานในการปล่อยโคมยี่เป็งโดยพร้อมเพรียงกัน
ประเพณียี่เป็งของชาวล้านนา
นับเป็นประเพณีที่เก่าแก่ที่ยึดถือและปฏิบัติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่โบราณกาล
วิถีชีวิตของชาวล้านนานั้น เป็นที่ประจักษ์ถึงความงดงามอ่อนช้อย
และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ที่พบเห็น ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ซึ่งความงามทั้งหมดนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนา เป็นเวลายาวนานกว่า 700 ปี
อ้างอิง
http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.dmc.tv/images/OtherBB/Yeepeng28.jpg&imgrefurl=http://www.dmc.tv/pages/scoop

|
||
|
อ้างอิง www.guru.sanook.com
ยี่เป็ง?เป็น
งานประเพณี อันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนล้านนา
ที่ได้ปฎิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลหรือวันเพ็ญ เดือนยี่ของชาว
ล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ของภาคกลาง อันเป็นช่วงปลายฤดูฝน ต้นฤดูหนาว
อากาศ ปลอดโปร่งท้องฟ้าแจ่มใส ธรรมเนียม
ปฎิบัติของชาวล้านนาอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการลอยกระทงในแม่น้ำก็คือ
การจุดประทีปโคมลอยขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้า โดยมีคติความเชื่อว่า
เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวง สวรรค์
หรือบ้างก็เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ หรือสะเดาะเคราะห์
ให้เกิดความเป็นมงคลแก่ชีวิต
ในภาษาคำเมืองของทางเหนือ ?ยี่? แปลว่า สอง และคำว่า ?เป็ง?
หมายถึง เพ็ญ หรือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึง หมายถึงประเพณี
พระจันทร์เต็มดวงในเดือนสอง โดยในพงศาวดารโยนกและจามเทวี
มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งได้เกิด อหิวาตกโรคขึ้นในแคว้นหริภุญไชย
ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดี นานถึง 6 ปี จึงจะเดินทางกลับ
มายัง บ้านเมืองเดิมได้ เมื่อเวลาเวียนมาถึง วันที่ จากบ้านจากเมืองไป
จึงได้มีการทำกระถางใส่เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย ลอยตามน้ำ
เพื่อให้ไปถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป เรียกว่า การลอยโขมด หรือลอยไฟ
ในงานบุญ?ยี่เป็ง?ยังมีการเทศน์มหาชาติ ผู้คนจะออกมาตกแต่งบ้านเรือน
วัดวาอาราม และถนนหนทาง ด้วยต้นกล้วย อ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้
ตุงช่อประทีปและชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา
ยามค่ำคืน จะมีการจุดโคมลอย ปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า
เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์
จุดเด่นของงานนี้อยู่ที่การปล่อย โคมลอย ขึ้นไปในท้องฟ้า โดยเชื่อกันว่า
เปลวไฟในโคมเป็นสัญลักษณ์ของความรู้ และแสงสว่างที่ได้รับจากโคม จะส่งผลให้
ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง
โคมไฟที่ถูกปล่อยสู่ท้องฟ้าเป็นภาพที่งามตายิ่งนัก
อ้างอิง www.world.kapook.com
อ้างอิง www.mcfc.in.th
อ้างอิง www.Youtube.com

ประเพณี
"ยี่เป็ง"
เป็นประเพณีลอยกระทงตามประเพณีล้านนาที่จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 2 ของชาวล้านนา
เป็นภาษาคำเมืองในภาคเหนือ คำว่า "ยี่" แปลว่า สอง
และคำว่า "เป็ง"
มีควาหมายตรงกับคำว่า "เพ็ญ" หรือพระจันทร์เต็มดวง
ซึ่งชาวไทยในภาคเหนือจะนับเดือนทางจันทรคติเร็วกว่าไทยภาคกลาง
2 เดือน ทำให้เดือนสิบสองของไทยภาคกลาง ตรงกับเดือนยี่หรือเดือน 2
ของไทยล้านนา
ประเพณียี่เป็งจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 13 ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็น "วันดา"หรือวันจ่ายของเตรียมไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด
ครั้นถึงวันขึ้น 14 ค่ำ
พ่ออุ้ยแม่อุ้ยและผู้มีศรัทธาก็จะพากันไปถือศีลฟังธรรมและทำบุญเลี้ยงพระที่วัดมีการทำกระทงขนาดใหญ่ตั้งไว้ที่ลานวัด ในกระทงนั้นจะใส่ของกินของใช้ใครจะเอาของมาร่วมสมทบด้วยก็ได้เพื่อเป็นทานแก่คนยากจนครั้นถึงคืนวันขึ้น
15 ค่ำ จึงนำกระทงใหญ่ที่วัดและกระทงเล็กของส่วนตัวไปลอยในลำน้ำ
ในงานบุญยี่เป็งนอกจากจะมีการปฏิบัติธรรม
ฟังเทศน์มหาชาติตามวัดวาอารามต่างๆ แล้วยังมีการประดับตกแต่งวัดบ้านเรือนและถนนหนทางด้วย ต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้
ตุงช่อประทีปและชักโคมยี่เป็งแบบต่างๆขึ้นเป็นพุทธบูชาพอตกกลางคืนจะมีมหรสพและการละเล่นมากมายมีการแห่โคมทอง
พร้อมกับมีการจุดถ้วยประทีป (การจุดผางปะติ๊ด)
เพื่อบูชาพระรัตนตรัย การ
จุดบอกไฟการจุดโคมประดับตกแต่งตามวัดวาอารามและการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่
ท้องฟ้า เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามวัฒนธรรมของล้านนาจะแบ่งโคมไฟออกเป็น
4 แบบ คือ "โคมติ้ว" หรือ โคมไฟเล็ก
ที่ห้อยอยู่กับซีกไม้ไผ่ซึ่งผู้คนจะถือไปในขบวนแห่และนำไปแขวนไว้ที่วัดแบบที่สองเรียก "โคมแขวน"
ที่ใช้แขวนบูชาพระพุทธรูปทำเป็นหลายรูปแบบด้วยกัน
เช่น รูปดาว รูปตะกร้า โดยปกติจะใช้แขวนตามวัดหรือตามหิ้งพระก็ได้แบบที่สามเรียก "โคมพัด"
ทำด้วยกระดาษสาเป็นรูปกรวยสองอันพันรองแกนเดียวกันด้านนอกจะไม่มีลวดลายอะไรส่วนด้านในจะตัดแต่งเป็นรูปทรงต่างๆ
ในทางพุทธศาสนาเมื่อจุดโคมด้านในแสงสว่างจะทำให้เกิดเงาบนกรวย
ด้านนอกก็จะเคลื่อนไหวคล้ายตัวหนังตะลุงแบบสุดท้ายเรียก "โคมลอย"
เป็นโคมใหญ่มีรูปร่างคล้ายบอลลูนตัวโครงทำจากซีกไม้ไผ่หุ้มด้วยกระดาษสา
เมื่อจุดโคมความร้อนจากเปลวไฟจะทำให้โคมลอยตัวขึ้นการปล่อยโคมลอยนี้จะทำกัน
ที่วัดหรือตามบ้านคน
โดยเชื่อว่าโชคร้ายทั้งหลายจะลอยไปกับโค
อ้างอิง http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-1/no16-25-26-42/kong-dee-kong-thai/sec57.html
http://www.youtube.com/watch?v=n2RYmEMgFik